คุยกันยาว ๆ เรื่องการแสดงกับครูซอ
“ครูคะ นักแสดงภาพยนตร์ กับนักแสดงละครเวทีต่างกันมั้ยคะ ?”
เป็นคำถามที่ชวนให้เรายิ้มอ่อน ๆ และนึกในใจว่า อีหยังวะ ? มันต้องแบ่งประเภทด้วยเหรอ 555555 แต่ก็ต้องพยายามอธิบายให้คนถามได้นึกภาพตามว่า “จิตรกรวาดภาพสีน้ำ ในขณะเดียวกันก็วาดภาพสีน้ำมันด้วย ต่างกันมั้ย ? ไม่ว่าเขาจะวาดหรือระบายด้วยอะไร เขายังคงเป็นจิตรกรใช่มั้ย ? มันต่างกันแค่การเลือกใช้อุปกรณ์และกระบวนการในการผลิตงานต่างหาก เพราะฉะนั้นแล้ว ฉันใดก็ฉันนั้น นักแสดงก็คือนักแสดง” เราต้องสามารถแสดงได้ ไม่ว่ามันจะผ่านการนำเสนอรูปแบบไหน
“แล้วทำไมนักแสดงละครเวทีชอบเล่นใหญ่ ?”
คำถามนี้น่าสนใจนะ เพราะในยุคนี้มีนักแสดงหลายคนมักจะชอบลดขนาดวิธีการแสดงออกให้เล็กลง เพราะเข้าใจว่ามันจะดูธรรมชาติมากกว่าการใช้มือไม้ สีหน้าแววตา หรือการพูดเสียงดัง ๆ ซึ่งจริงๆแล้ว การเล่นใหญ่ไม่ได้แปลว่าประดิษฐ์หรือปลอมเสมอไปนะ ตราบเท่าที่ความรู้สึกภายในของนักแสดงสัมพันธ์กับการแสดงออกภายนอก ลองคิดภาพตามว่า สมมติ เราอยากทักเพื่อนที่อยู่ถนนฝากตรงข้าม เราโบกมือทักทายเพื่อให้เขาเห็นเรา อันนี้ควรใหญ่ หรือควรเล็ก ? นักแสดงละครเวทีเองก็มีเจตนาเดียวกันในการสื่อสารกับผู้ชมที่อยู่ในระยะไกล ๆ เพราะฉะนั้นความสำคัญของการแสดงออก เราสนใจที่ความรู้สึก และความจริงภายในมากกว่าความเล็กใหญ่ภายนอก บางทีการเล่นเล็กแต่ไม่รู้สึก เราว่ามันก็ปลอมได้เช่นกันนะ 55555
Stella Adler บอกว่า “ขนาดของการแสดง มันมีหลายปัจจัย เราคุยกับใคร, เราเห็นอะไร, เราต้องการอะไร, เราอยู่ที่ไหน, และเราเดิมพันด้วยอะไร ในสถานการณ์นั้นๆ” ล่าสุดได้ชมละครเวทีเรื่อง Matilda พูดเลยว่าขนาดของการแสดงใหญ่โตมโหราฬมาก หรือใครแกล้ง ๆ ลองแวะดูงานของ National Theatre ใน Youtube ก็ได้นะ ใหญ่โตไม่แพ้กัน 55555 แต่น่าแปลกที่เราไม่ได้รู้สึกติดขัด หรือตะขิดตะขวงใจกับขนาดของการแสดงเลย เหตุผลง่าย ๆ ก็เพราะว่านักแสดงเหล่านั้น เขามีเศษเสี้ยวของความจริงผสมอยู่ มันเป็นเหตุ เป็นผลที่เขาจะต้องแสดงออกด้วยท่าทีแบบนั้น
ทีนี้ความใหญ่เล็กของการแสดงคงไม่ใช่เรื่องสำคัญที่เราต้องโฟกัสอีกต่อไป ลองเปลี่ยนมาสนใจที่ความจริงในละคร และลองถามตัวเองใหม่ว่า เราได้สาระจากการชมละครนั้นมั้ย ถ้าคำตอบคือ “ได้” ยินดีด้วยค่ะ คุณได้เจอนักแสดง และละครที่ดีแล้วอีก 1 เรื่อง
ขอขอบคุณบทความจาก Facebook ครูซอ สทาศัย พงศ์หิรัญ